ภาษาซีเป็นภาษาระดับสูง( High-Level-Language) และภาษาโปรแกรมที่โปรแกรมเมอร์นิยมใช้กันมาก เนื่องจากเป็นภาษาที่มีความเร็วในการทำงานสูงใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง มีโครงสร้างที่ชัดเจน เข้าใจง่าย สามารถเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้อย่างดี ภาษาซีเกิดขึ้นในปี ค . ศ .1972 ผู้คิดค้นคือนายเดนนีส ริทชี (Dennis Ritchi) การศึกษาภาษาซีถือว่าเป็นพื้นฐานในการศึกษาภาษาใหม่ ๆ ได้
ขั้นตอนที่ 1 เขียนโปรแกรม (source code)
ขั้นตอนที่ 3 เชื่อมโยงโปรแกรม (link)
เดนนีส ริทชี (Dennis Ritchi)
ประวัติของเดนนีส ริทชี (Dennis Ritchi)
เดนนิส ริตชี เกิดที่เมืองบรอนซ์วิลล์ นิวยอร์ก สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในระดับปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์ และระดับปริญญาโทสาขาคณิตศาสตร์ประยุกต์ ต่อมา พ.ศ. 2510 เขาเริ่มทำงานกับศูนย์วิจัยวิทยาการคอมพิวเตอร์ของเบลล์แลบส์โดยติดตามงานจากพ่อของเขา [1] ริตชีเคยเป็นหัวหน้าแผนกวิจัยซอฟต์แวร์ระบบของลูเซนต์เทคโนโลยีส์ แต่เขาลาออกแล้วเมื่อ พ.ศ. 2550
รางวัลที่ได้รับ
รางวัลทัวริง ริตชีและทอมป์สันได้รับรางวัลทัวริงร่วมกันเมื่อ พ.ศ. 2526 สำหรับการพัฒนาทฤษฎีของระบบปฏิบัติการทั่วไป และโดยเฉพาะสำหรับการนำมาใช้เป็นระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ การปราศรัยรางวัลทัวริงของริตชีมีหัวเรื่องว่า "ผลสะท้อนบนการวิจัยซอฟต์แวร์" (Reflections on Software Research)
เหรียญรางวัลเทคโนโลยีแห่งชาติ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2542 ริตชีและทอมป์สันได้รับเหรียญรางวัลเทคโนโลยีแห่งชาติ 1998 ร่วมกันจากประธานาธิบดี บิล คลินตัน สำหรับการร่วมกันประดิษฐ์ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์และภาษาซี ซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ในเรื่องฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และกระตุ้นความเจริญให้กับอุตสาหกรรมทั้งวงการ ทำให้อเมริกามีความเป็นผู้นำมากขึ้นในยุคสารสนเทศ
ขั้นตอนการพัฒนาภาษา C
ใช้ editor เขียนโปรแกรมภาษาซีและทำการบันทึกไฟล์ต้นฉบับให้มีนามสกุลเป็น .C จากนั้นให้คอมไพล์โปรแกรมก็จะได้ไฟล์ออบเจ็กต์โค้ดที่มีนามสกุลเป็น .OBJ เมื่อทำการเชื่อมโยงไฟล์เข้ากับไลบรารีคำสั่งด้วย Link ก็จะได้ไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น .EXE ที่พร้อมทำงานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์
editor คือ โปรแกรมที่ใช้สำหรับการเขียนโปรแกรม โดยตัวอย่างของ editor ที่นิยมนำมาใช้ในการเขียนโปรแกรมได้แก่ Notepad, Edit ของ Dos ,Text Pad และ Edit Plus เป็นต้น ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเลือกใช้โปรแกรมใดในการเรียนโปรแกรมก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล
ขั้นตอนที่ 2 คอมไพล์โปรแกรม (compile)
นำ source code จากขั้นตอนที่ 1 มาทำการคอมไพล์ เพื่อแปลจากภาษาซีที่มนุษย์เข้าใจไปเป็นภาษาเครื่องที่คอมพิวเตอร์เข้าใจได้ ในขั้นตอนนี้คอมไพเลอร์จะทำการตรวจสอบ source code ว่าเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่
• หากเกิดข้อผิดพลาด จะแจ้งให้ผู้เขียนโปรแกรมทราบ ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องกลับไปแก้ไขโปรแกรม และทำการคอมไพล์โปรแกรมใหม่อีกครั้ง
• หากไม่พบข้อผิดพลาด คอมไพเลอร์จะแปลไฟล์ source code จากภาษาซีไปเป็นภาษาเครื่อง ( ไฟล์นามสกุล .obj) เช่นถ้าไฟล์ source code ชื่อ work.c ก็จะถูกแปลไปเป็นไฟล์ work.obj ซึ่งเก็บภาษาเครื่องไว้เป็นต้น
compile เป็นตัวแปลภาษารูปแบบหนึ่ง มีหน้าที่หลักคือการแปลภาษาโปรแกรมที่มนุษย์เขียนขึ้นไปเป็นภาษาเครื่อง โดยคอมไพเลอร์ของภาษาซี คือ C Compiler ซึ่งหลักการที่คอมไพเลอร์ใช้ เรียกว่า คอมไพล์ (compile) โดยจะทำการอ่านโปรแกรมภาษาซีทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วทำการ แปลผลทีเดียว
นอกจากคอมไพเลอร์แล้ว ยังมีตัวแปลภาษาอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า อินเตอร์พรีเตอร์ การอ่านและ แปลโปรแกรมทีละบรรทัด เมื่อแปลผลบรรทัดหนึ่งเสร็จก็จะทำงานตามคำสั่งในบรรทัดนั้น แล้วจึงทำการแปลผลตามคำสั่งในบรรทัดถัดไป หลักการที่อินเตอร์พรีเตอร์ใช้เรียกว่า อินเตอร์เพรต (interpret )ขั้นตอนที่ 3 เชื่อมโยงโปรแกรม (link)
การเขียนโปรแกรมภาษาซีนั้นผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องเขียนคำสั่งต่าง ๆ ขึ้นใช้งานเอง เนื่องจากภาษาซีมีฟังก์ชั่นมาตรฐานให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเรียกใช้งานได้ เช่น การเขียนโปรแกรมแสดงข้อความ “Lampangkanlayanee” ออกทางหน้าจอ ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเรียกใช้ฟังก์ชั่น printf() ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นมาตรฐานของภาษาซีมาใช้งานได้ โดยส่วนการประกาศ (declaration) ของฟังก์ชั่นมาตรฐานต่าง ๆ จะถูกจัดเก็บอยู่ในเฮดเดอร์ไฟล์แต่ละตัว แตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งาน
ด้วยเหตุนี้ภาษาเครื่องที่ได้จากขั้นตอนที่ 2 จึงยังไม่สามารถนำไปใช้งานได้ แต่ต้องนำมาเชื่อมโยงเข้ากับ library ก่อน ซึ่งผลจากการเชื่อมโยงจะทำให้ได้ executable program ( ไฟล์นามสกุล .exe เช่น work.exe) ที่สามารถนำไปใช้งานได้
ขั้นตอนที่ 4 ประมวลผล (run)
เมื่อนำ executable program จากขั้นตอนที่ 3 มาประมวลผลก็จะได้ผลลัพธ์ (output) ของโปรแกรมออกมา ( ถ้ามี )